แม้ว่าจะเป็นโอกาสครบรอบปีที่ 10 ของมาสคอตโปรแกรมเสียงสังเคราะห์ Vocaloid ในภาพลักษณ์ของเวอร์ช่วลไอดอล Hatsune Miku ที่ตลอดปีนั้นมีแคมเปญเฉลิมฉลองเอาใจแฟน ๆ กันมากมาย และคอนเสิร์ตประจำปีอย่าง Magical Mirai ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สำหรับคอนเสิร์ตแนวใหม่อย่าง Hatsune Miku Symphony หรือ Miku Symphony นั้น ก็ได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงปลายปีนี้เช่นเดียวกัน
Miku Symphony 2017 นี้จัดขึ้นสองรอบในสองเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่ เมืองโอซาก้า ในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา (และเป็นคอนเสิร์ตที่เรากำลังจะรีวิวกันในครั้งนี้) และเมืองโตเกียว ในวันที่ 29 พฤศจิกายนที่กำลังจะถึงนี้
อย่างแรกเลยก็คือ ไม่น่าเชื่อว่า เพลงสไตล์อิเล็กโทรที่มาจากโปรแกรมเสียงสังเคราะห์นั้น หากใครติดตามโดยตลอดแล้วก็จะรับทราบดีว่าเพลง Vocaloid นั้น มีการนำไปโคฟเวอร์หรือรีมิกซ์ใหม่ในหลาย ๆ รูปแบบที่ให้ความไพเราะที่หลากหลายมากมาย แม้แต่แนวออเคสตร้าก็มี แต่เมื่อหากนำเพลงเหล่านั้นไปบรรเลงด้วยวงซิมโฟนีออเคสตร้าอย่างเต็มรูปแบบล่ะ จะเป็นอย่างไร…
นั่นคือคอนเสิร์ตครั้งนี้ครับ
สำหรับคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในเมืองโอซาก้านี้ จัดขึ้นที่ Festival Hall ใกล้กับตัวเมืองอุเมดะ ซึ่งสามารถเดินมาเดินในเวลาประมาณ 20 นาที หรือจะนั่งรถไฟ 1 สถานีก็ได้เช่นกันครับ
แน่นอนว่าในวันคอนเสิร์ตนั้น จัดขึ้นในวันศุกร์ช่วงหัวค่ำ ฉะนั้นแล้วผู้ชมส่วนมากจะเป็นวัยทำงานที่มาถึงสถานที่จัดงานในชุดทำงาน แต่แม้ว่าจะเป็นสูททำงาน แต่แทบทุกคนมีการ “เผย” ความชื่นชอบของตนเองไว้ด้วยเช่นการผูกเนคไทสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งเป็นสีประจำของ Hatsune Miku นั่นเอง
และตัวสถานที่จัดงานนั้นก็โอ่อ่าสวยงาม เรียกได้ว่าหากมาก่อนเวลาและไม่ได้ตั้งใจจะซื้อสินค้าใด ๆ เป็นพิเศษ ก็เดินชมความสวยงามของอาคารได้เต็มที่เลยครับ หรือแม้แต่พื้นที่หน้าคอนเสิร์ต ก็มีการตกแต่งด้วยสแตนดี้ตัวละคร Vocaloid ไว้ครบทีมเลยครับ
รวมถึงไวโอลินสีชมพูที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ แบบเดียวไวโอลินที่มิกุจังใช้ในภาพโปสเตอร์อีกด้วย
คอนเสิร์ตเปิดฉากด้วยเพลง Mirai jokyoku ที่แต่งโดย Mitchie-M ที่เป็นเพลงประจำคอนเสิร์ตซิมโฟนีปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพลงที่ถูกแต่งมาสำหรับเพลงซิมโฟนีโดยเฉพาะ อีกทั้งในครั้งนี้ยังมีการเปิดจอเป็น MV อนิเมชั่น 3D ของมิกุจังร่วมร้องเพลงและสีไวโอลินไปพร้อม ๆ กับวงซิมโฟนีอีกด้วย เป็นการเปิดตัวที่อลังการมากทีเดียวครับ (ภาพประกอบภายในคอนเสิร์ตเป็นภาพจาก livefans.jp)
ต่อด้วยเพลง Tell Your World และ Disappearance of Hatsune Miku ที่เป็นเพลงฮิตคุ้นหูแฟน ๆ อยู่แล้ว แต่สำหรับเพลงหลังนั้น เป็นเพลงที่ฟังยากเพราะใช้การร้องที่รัวและเร็ว แต่สำหรับการบรรเลงออเคสตร้านั้นใช้สไตล์ที่หนักหน่วงเข้ามาแทนและแบ่งจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาได้ลงตัวมากครับ
ท่อนถัดไปเรียกได้ว่าผลักดันคู่แฝด Kagamine Rin และ Len กันแบบเต็ม ๆ เลย เพราะปี 2017 นี้นับว่าเป็นการเข้าสู่ปีที่ 10 ของการเปิดตัวโปรแกรมชุดแรกของทั้งสอง จึงมีการจัดเพลงชุดเมดเล่ย์ Roshin yuukai (iroha) ต่อด้วย Kokoro (toraboruta) เพลงคู่ akunomusume, akunomeshitsukai (motchī _ ano P) และ Lost one no goukoku(Neru)ที่ไต่จังหวะอารมณ์ได้สนุก แล้วยังต่อด้วย Shiki ori no hane ในรูปแบบคอรัสจากคณะประสานเสียงที่สมบูรณ์แบบอย่างน่าขนลุก ก่อนจะปิดท้ายแบบเร้าอารมณ์ด้วย Fire Flower(halyosy)
ท่อนต่อจากนั้นจะเป็นชุดเพลงไฮไลท์จากเกม Project Diva สามเพลง ได้แต่ ODD&ENDS และ Melt ของคุณ Ryo ที่ทั้งสองเพลงล้วนเคยสร้างปรากฏการณ์ในหมู่แฟนเพลง Vocaloid ยุคแรก ๆ มาแล้ว ซึ่งต้องบอกว่าเพลง ODD&ENDS ในฉบับออเคสตร้านั้นน่าตื้นตันอย่างไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ
ต่อด้วยเพลงใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาเมื่อปีที่แล้ว และยังเผยคลิป MV ที่จะบรรจุอยู่ในเกม Hatsune Miku Project Diva Future Tone DX สำหรับ PS4 ที่เพิ่งวางจำหน่ายอย่างเพลง Ghost Rule โดย DECO*27 นั่นเอง ซึ่งเพลงนี้จากต้นฉบับที่ค่อนข้างหนักหน่วงรุนแรงแล้วนั้น ความเป็นซิมโฟนีออเคสตร้าก็ช่วยให้มันเข้มข้นมากขึ้นไปอีก
และเมื่อถึงจุดนี้ เราก็จะได้พักครึ่งกันสักเล็กน้อยครับ
ในช่วงครึ่งหลังเปิดมาแบบสบาย ๆ แกมขบขัน เริ่มด้วยเพลงประจำตัวของมิกุจังอย่าง Mikumikunishiteageru ตามด้วยเพลงโบกต้นหอม Ievan Polkka เพลงแมวน่ารัก ๆ Nyan Cat และ koneko no payapaya ที่ซิมโฟนีจะบรรเลงในสไตล์เบา ๆ แบบ Easy listening ที่ชวนให้รู้สึกว่า ครึ่งหลังน่าจะผ่อนคลายกว่าครึ่งแรก
แต่เปล่าเลยครับ
ชุดสี่เพลงถัดไปยังคงเป็นเพลงเรียกน้ำตาอย่างต่อเนื่อง ด้วย from Y to Y, Reboot และ Starduster ของ Jimmythumb P ที่ล้วนเป็นเพลงที่เกี่ยวกับการจากลา พลัดพราก และการมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง เท่านั้นก็ยังไม่พอ เซ็ตลิสยังคงจัดต่อด้วย Uta ni katachi wa nai keredo ของ doriko แบบไม่ใช้เสียงร้อง แต่แค่ดนตรีของซิมโฟนีก็สามารถทำให้ผู้ฟังสัมผัสถึงความฝันที่ซ้อนทับอยู่ในเนื้อเพลงได้อย่างจับใจ
และก็เข้าสู่เพลงสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดอย่าง Connecting ที่ขับร้องโดย Vocaloid หลักทั้งทีม 6 คน ได้แก่ มิกุ ริน เลน ลูกะ ไคโตะ และเมย์โกะ และในเพลงนี้ยังนำทีมคอรัสมาเสริมพลังให้ยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว นับว่าเป็นเพลงปิดท้ายที่ลงตัวสำหรับคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างยิ่งทีเดียว
ในส่วนถัดจากนี้ จะเป็นกิมมิค Encore ส่งท้ายคอนเสิร์ต ซึ่งขอใบ้ไว้แค่ภาพคอนเสิร์ตที่แล้วด้านบนนี้นะครับ ^_^
โดยรวมแล้ว คอนเสิร์ตซิมโฟนีครั้งนี้ เรียกได้ว่าคัดเพลงที่สามารถดัดแปลงเป็นเพลงซิมโฟนีออเคสตร้าได้อย่างลงตัวทุกเพลงเลยจริง ๆ แต่ก็มีหลายเพลงที่ผู้เขียนรู้สึกว่าได้ฟีลซิมโฟนีเหมือนกันแต่ไม่มี เช่น Tsumi no namae หรือ Senbonzakura เป็นต้น แต่เรียกได้ว่าลูกเล่นตลอดคอนเสิร์ตนั้นดึงดูดผู้ฟังได้อย่างเต็มที่ และทำให้เพลง Vocaloid หลายเพลง “ดูหรูหรา” ขึ้นมายิ่งกว่าเดิมไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม ในช่วง Encore นั้น ทางผู้เขียนรู้สึกว่าค่อนข้างยาวไปสักเล็กน้อยและ “มุกเยอะ” ไปสักหน่อย ทำให้แทนที่ปกติช่วง Encore นั้นจะพีคยิ่งกว่าเพลงก่อนหน้า กลับกลายเป็นฟีลสบาย ๆ แทน ซึ่งอาจจะไม่ใช่จุดไม่ดี แต่เป็นจุดที่ผิดคาดสักหน่อยมากกว่าครับ
และแน่นอน คอนเสิร์ตครั้งนี้ก็จะมีการวางจำหน่ายในรูปแบบ Blu-ray พร้อมกับ CD ด้วยเช่นกัน ใครอยากสัมผัสบรรยากาศฟิน ๆ ของเพลง Vocaloid สไตล์ซิมโฟนีออเคสตร้าแล้วล่ะก็ ห้ามพลาดนะครับ