ความยากลำบากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ของคนเป็นภูมิแพ้เกสรจะหายไป พร้อมยกระดับมวลมนุษยชาติไปอีกขั้น
อาการภูมิแพ้เกสร หรือ kafunshou 花粉症 ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เป็นโรคที่อยู่คู่กับชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน กล่าวคือ ในทุกฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) ของทุกปีนั้น ดอกซากุระจะบานและปล่อยละอองเกสรไปทั่ว ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบเกิดอาการแพ้ จาม คล้ายเป็นหวัด จนแทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่ล่าสุดในปี 2020 นี้ อาจารย์แพทย์หนุ่มวัย 28 ปี จากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยโตเอย์ นายแพทย์อิชิคาวะ ทาโร (威史化和太郎) ได้ออกมาเผยว่า พวกเขาและคณะแพทย์ได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบและวิจัยสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดใหม่ Saracotic Kappasic ซึ่งเป็นสารสีเขียวที่มีค่าอนุมูลอิสระตรงกันข้ามกับละอองสีขาวชมพูในดอกซากุระ ซึ่งต่อมาได้มีการนำมาผลิตในรูปแบบเม็ด และนำออกมาแจกจ่ายให้กับศูนย์พยาบาล และร้านขายทั่วประเทศตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
“ฉันต้องทรมานกับอาการจามทุกครั้งในช่วงเปิดภาคเรียนตลอดชีวิตมัธยม แต่การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีนี้ ฉันเหมือนกับเป็นคนใหม่ ที่สามารถสูดอากาศหายใจได้อย่างสดชื่น แม้เดินอยู่ท่ามกลางดงต้นซากุระ” นักศึกษาหญิงรายหนึ่งจากมหาวิทยาลัยไดเกียว หนึ่งในผู้ใช้สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน กล่าวกับนายแพทย์อิชิคาวะ
“สารกระตุ้นฯ ดังกล่าวเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สังเกตได้จากเส้นผมสีเขียวสดของพวกเขาที่เกิดจากผลข้างเคียงในตัวยา”
นักข่าวท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ขณะเก็บภาพเหล่านักท่องเที่ยวที่เนืองแน่นในส่วนสาธารณะอุเอโนะ ใจกลางกรุงโตเกียว
(ภาพตัวอย่างแพคเกจของยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่กำลังวางจำหน่ายในปัจจุบัน)
นอกจากนี้ คุณหมออิชิคาวะยังกล่าวว่า ไม่เพียงเฉพาะป้องกันอาการแพ้ละอองเกสรเท่านั้น แต่สารกระตุ้นนี้ ยังสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้หลายชนิดอย่างที่ไม่เคยมีสารใด ๆ ทำได้มาก่อน
“ราวกับเป็นการยกระดับของวิวัฒนาการในมนุษย์เราเลยทีเดียว” คุณหมออิชิคาวะ กล่าว
(ภาพบน : ผู้ไม่ได้ใช้สารกระตุ้น / ภาพล่าง : การเปลี่ยนแปลงหลังใช้สารกระตุ้นแล้ว 1 สัปดาห์)
จากข้อมูลของคุณหมออิชิคาวะ เผยว่า ผู้ใช้สารกระตุ้นดังกล่าว ช่วงสัปดาห์แรกจะมีเส้นผมที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสด ซึ่งหมายถึงการบำรุงรูขุมขนในร่างกายด้วยสารชนิดนี้ และจะไม่เกิดอาการแพ้ละออกเกสรใด ๆ อีก เมื่อรับประทานต่อเนื่องถึงสองสัปดาห์ สารชนิดนี้จะซึมเข้าทุกอณูเซลล์รวมถึงกระดูก สมองจะมีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกะโหลกศีรษะจะนูนขึ้น เส้นผมส่วนกลางจะลดลงเพื่อให้ผิวหนังส่วนกลางศีรษะนั้นสามารถรับแสงอาทิตย์ได้ กระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามินดีเพิ่มขึ้นกว่า 60% นั่นหมายความว่า การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายนั้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
(การเปลี่ยนแปลงหลังใช้สารกระตุ้นแล้ว 3 สัปดาห์)
ในทางเดียวกับพืชหลายชนิดที่มีใบสีเขียว ที่จะทำให้สามารถรับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและคายออกซิเจนออกมาได้ สำหรับมนุษย์ที่รับประทานสารกระตุ้นชนิดใหม่นี้ก็เช่นเดียวกัน ผิวหนังสีเขียวจะช่วยให้ร่างกายสามารถรับวิตามินจากอากาศผ่านทางผิวหนัง และเปลี่ยนมันเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
หลังรับสารกระตุ้นเกิน 3 สัปดาห์ ผักบางชนิดจะช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายได้มากกว่าปกติ เช่น แตงกวา รวมถึงการดื่มน้ำสะอาด และการแช่น้ำร้อนเพียง 2 ชั่วโมง เซลล์จะผ่อนคลายมากเทียบเท่าการนอนหลับถึง 8 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น ผู้รับสารอาจจะไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับการนอนหลับในระยะเวลานานเพื่อพักผ่อนอีกต่อไป
“รัฐบาลญี่ปุ่นมุ่งมั่นจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้สารกระตุ้นนี้ให้ได้เกิน 2 แสนรายก่อนถึงฤดูร้อนปีนี้ และหวังให้เป็นปรากฎการณ์ความนิยมทั่วโลก ในชื่อของ Green Head Effect (グリーンヘッドエフェクト)”
คุณหมออิชิคาวะ กล่าวสรุปท้าย พร้อมทั้งนำเสนอแผนภาพหากใช้สารกระตุ้นดังกล่าวที่ระยะ 8 สัปดาห์ (2 เดือน) และ 12 สัปดาห์ (3 เดือน) ตามลำดับ ที่พัฒนาการทางผิวหนังและสมองนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
(ภาพบน : ผู้ใช้สารกระตุ้นที่ระยะ 8 สัปดาห์ / ภาพล่าง : ระยะ 12 สัปดาห์)
สำหรับในไทยเรา ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าจะมียากระตุ้นชนิดนี้วางจำหน่ายกันเมื่อไรนะครับผม
.
.
.
.
และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นการเล่นสนุกๆ ไม่ให้เครียดกันจนเกินไปในวัน April Fools’ Day เท่านั้นจ้า ถ้าหากทำให้ใครเข้าใจผิดไปทางทีมงานต้องขออภัยไว้ด้วย ณ จุดนี้
และร่างกายสีเขียว ก็คือ รูปลักษณ์ของภูตในตำนานญี่ปุ่นที่เรียกว่า “กัปปะ” และตัวกัปปะนี้ ก็เป็นหนึ่งในมาสคอตของเว็บไซต์ Akibatan ของเราด้วยจ้า
และยังสามารถดาวน์โหลดเป็นสติ๊กเกอร์ไลน์ได้ด้วยนะ !