กระนั้นยังคงเป็นที่หวั่นใจกับผู้ประกอบการ ว่าหากกระแสเรื่องนี้ตกไปแล้ว จะหาทางกระตุ้นยอดขายอย่างไรต่อ
ต้องเรียกว่ากระแสความนิยมของ Kimetsu no Yaiba (ชื่อไทย ดาบพิฆาตอสูร) แรงจนไม่มีอะไรมาหยุดได้จริง ๆ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม บริษัทน้ำอัดลมในญี่ปุ่น DyDo Drinco ได้ออกกาแฟกระป๋อง Kimetsu no Yaiba ที่มีลายกระป๋องให้สะสมถึง 28 แบบ และทางบริษัทได้เผยว่ากาแฟตัวนี้มียอดขายมากกว่า 100 ล้านกระป๋องเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
สำนักข่าว Mainichi Shimbun ได้สัมภาษณ์คุณ Takamastsu Tomiya ประธานบริษัท DyDo Drinco เกี่ยวกับความสำเร็จของกาแฟกระป๋อง Kimetsu no Yaiba ในช่วงเวลาที่ตลาดกาแฟกระป๋องในญี่ปุ่นกำลังซบเซา เขากล่าวว่า “พูดตามตรงมันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของเรามาก เป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่ายินดีจริง ๆ ”
DyDo Drinco เผยว่ายอดขายกาแฟกระป๋องตัวนี้สูงถึง 50 ล้านกระป๋องในเวลาเพียง 3 สัปดาห์นับตั้งแต่มีการเปิดตัว และมันมียอดขายในเดือนตุลาคม 2020 มากกว่ายอดขายกาแฟกระป๋องทั่วไปของบริษัทในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปี 2019 คุณ Takamatsu ยกความดีความชอบให้กับ IP Kimetsu no Yaiba ที่ไม่ใช่แค่กลุ่มคนกินกาแฟ, เยาวชน และชายวัยทำงานเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มผู้หญิง, เด็ก หรือแม้แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาด้วย
โดยปกติแล้วตลาดของกาแฟกระป๋องในญี่ปุ่นมักจะมาจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่กลุ่มคนทำงานและมนุษย์เงินเดือนจะซื้อช่วงเวลาที่ออกมาพักสูบบุหรี่ แต่ว่าตลาดมีการหดตัวลงจากหลายปัจจัย ทั้งการมาของแฟรนไชส์ร้านกาแฟขนาดใหญ่ และร้านสะดวกซื้อที่มีบริการกาแฟ รวมไปถึงการลดลงของเครื่องจำหน่ายบุหรี่อัตโนมัติเนื่องจากกฏหมายที่มีความใส่ใจต่อสุขภาพของประชาชนมากขึ้น
คุณ Takamatsu เผยว่าการได้ทำแคมเปญร่วมกับอนิเมะเรื่องนี้ “เป็นการนำความน่าตื่นเต้นกลับมาสู่กาแฟกระป๋องอีกครั้บ” แต่ว่าในทางกลับกันมีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดเช่นนี้อาจจะได้ผลแค่ชั่วคราวสำหรับการดึงลูกค้า และมีปัญหาในการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้หลังจากนั้น
“การทำงานร่วมกันย่อมมีทั้งด้านดีและด้านเสีย มันเป็นดาบสองคม แต่ว่าพวกเขาก็รู้สึกอยากลอง
มันไม่ใช่เรื่องว่าการสร้างจุดสูงสุด (ด้วยผลิตภัณฑ์ยอดนิยม) แล้วกลับไปสู่สิ่งเดิม ๆ แต่มันต้องเป็นแนวคิดว่าเมื่อมันลดลงแล้ว เราจะรักษากลุ่มลูกค้าใหม่ไว้ได้หรือไม่ หากเราไม่สามารถเพิ่มฐานลูกค้ามากขึ้นแม้จะไม่ได้มีการร่วมมือกัน เราก็ควรต้องรักษายอดขายมาตรฐานเอาไว้” คุณ Takamatsu กล่าว
Source : Mainichi Shimbun